ธรรมต้องทำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “นามกาย”
หลวงพ่อ : เขาถามนะ ข้อ ๒๐๓๕ นามกาย
ถาม : คำว่า “นามกายของหลวงปู่ดูลย์ท่านหมายถึงอะไร”
ตอบ : อ้าว! ก็ท่านหมายถึงนามกาย มันก็ตรงตัวอยู่แล้ว หลวงปู่ดูลย์ท่านว่านามกาย เขาถามว่า คำถามถามว่า “นามกายของหลวงปู่ดูลย์หมายถึงอะไร” ก็หมายถึงนามกายไง จบ นั่นของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านเห็นของท่าน แต่ของเรามันไม่เห็นไง
นามกายคืออะไร พอนามกายคืออะไร เฉพาะหลวงปู่ดูลย์ เห็นไหม เวลาท่านพูด ท่านพูดแล้วเวลาสมัยหลวงปู่ดูลย์นะ ท่านจะไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้นๆ ท่านจะไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ สมัยหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชา หลวงปู่ชาท่านอยู่อุบลฯ นะ ท่านจะมาเยี่ยมหลวงปู่ฝั้นประจำ เวลามาเยี่ยมหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นจะจัดให้หลวงปู่ชาไปฉันที่โบสถ์น้ำ เพราะหลวงปู่ชาเป็นมหานิกาย แล้วท่านมีชื่อเสียง ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียง ถ้ามีชื่อเสียงแล้วมันแบบว่า มันเป็นนานาสังวาส จะมาอยู่มาฉันร่วมกัน ท่านถึงแยก ท่านมีอุบาย
ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมนะ ท่านทำอะไรมันน่ารัก แบบว่าน่าดูไปหมดล่ะ ท่านทำถูกต้องดีงาม ทำตามธรรมตามวินัย แล้วไม่ขัดแย้งด้วย แล้วทำแล้วราบรื่นด้วย ไอ้ของเรามีแต่แอ็ก เวลามีใครมาแล้วอวดไปนั่งต่อท้ายไปอะไรอย่างนี้ มันแบบว่ามันกระทบกระเทือนกันไง แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ อย่างถ้าเป็นนานาสังวาส นานาสังวาส ถ้าเป็นพระทั่วไปหรือว่ามันไม่ต่างกันมาก ท่านก็ให้นั่ง นั่งต่อเนื่อง
อย่างเช่น เช่น ธรรมยุตเรา เวลาไปวัดป่านานาชาติ พระฝรั่ง ก็ไปต่อท้ายเขา มีพระธรรมยุตเวลาท่านเที่ยววิเวกไปก็อยากศึกษา ก็ไปศึกษาวัดป่านานาชาติ แล้วมาเล่าให้ฟัง บอกเราเป็นธรรมยุต เขาเป็นมหานิกาย เราไปหาเขา เราก็นั่งต่อท้ายเขา เขาพระมหานิกายทั้งหมด แล้วเราก็นั่งต่อท้ายเขา เพราะเราไปศึกษากับเขา เวลาเขามาหาเรา ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าเป็นธรรมนะ ท่านก็ทำให้มันแบบว่า ทำให้มันสมน้ำสมเนื้อ ไม่ให้มันน่าเกลียด
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่ชาท่านมา หลวงปู่ชาท่านมา หลวงปู่ฝั้นท่านแยกให้ไปฉันที่โบสถ์น้ำเลย โบสถ์น้ำคือเป็นโบสถ์อยู่กลางน้ำ ให้แยกฉันที่นั่น แล้วหลวงปู่ฝั้น พระที่วัดหลวงปู่ฝั้นก็ฉันที่ศาลา มันแยกกัน เวลาหลวงปู่ดูลย์เวลาท่านไปเยี่ยมครูบา-อาจารย์ เห็นไหม เวลาท่านไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ เราจะบอกว่าถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ท่านสนทนาธรรมกันรื่นเริง รื่นเริง แล้วท่านรักกันโดยธรรม ไอ้เรื่องนี้เปลือกนอก
สิ่งนี้ ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านบอก เห็นไหม “ไอ้นิกายมันก็เป็นแค่ชื่อ ไก่มันยังมีชื่อ สัตว์มันยังมีชื่อ เลี้ยงสุนัขตั้งชื่อให้มันเต็มไปหมดเลย แล้วเวลาเป็นคนขึ้นมา เป็นหมู่เป็นคณะ มันก็แค่ชื่อ ชื่อหมายความว่าตั้งชื่อไว้ให้เรียกได้ ให้รู้ว่าใครเป็นใคร เรียกเป็นภาษาสมมุติ” แต่เวลาหัวใจท่านเป็นธรรมนะ นี่ไง หลวงปู่ดูลย์ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหา เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านไปเทศนาว่าการ เอาหลวงปู่ฝั้นมาญัตติจากมหานิกายมาเป็นธรรมยุต หลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นคนไปเทศน์
เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปเทศน์ หลวงปู่เกิ่งท่านเป็นอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์นะ ทั้งวัดเลย ญัตติจากมหานิกายเป็นธรรมยุตหมดเลย เวลาท่านไปเทศนาว่าการ เห็นไหม เวลามันเข้ากันโดยธรรม โดยธรรมหมายความว่าเวลาท่านอยู่ในเพศของท่าน ท่านก็ศึกษาของท่าน ท่านก็ปฏิบัติของท่าน มันไม่มีทางออก มันไม่มีทางไป พอมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เวลาเทศน์แล้ว โอ้โฮ! มันเห็นช่องเห็นทาง มันรื่นเริง มันอาจหาญ ญัตติเป็นธรรมยุตเลย ทั้งวัดเลย จากเป็นอุปัชฌาย์นะ ถ้ามันเป็นธรรมๆ มันไม่มีการกระทบกระเทือน มันราบรื่นไปหมดล่ะ
หลวงปู่ดูลย์ก็เหมือนกัน เวลาท่านมาเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหา ท่านมาเยี่ยมครูบาอาจารย์ของเรา ท่านคุยกันเป็นธรรม มันรื่นเริงทั้งนั้น ทีนี้คำว่า “นามกาย นามกาย” ท่านพูดเข้าใจกัน เพราะหลวงปู่ฝั้นท่านสอนพุทโธ ครูบาอาจารย์ท่านสอนพุทโธ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็สอนพุทโธ แต่บางทีส่วนใหญ่แล้วท่านก็จะเน้นพิจารณาจิต ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของท่าน
ทีนี้ไอ้ลูกศิษย์ลูกหาที่รับๆ มา พอบอกว่านามกายมันคืออะไร มันก็จะไปสร้างแล้ว จะไปสร้างเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาแล้ว นามกายของท่านก็จิตของท่านที่เห็นไง จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตของท่าน ท่านรู้ของท่าน ท่านเห็นของท่าน ถ้าท่านเห็นแล้วท่านพิจารณาของท่าน มันก็จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นจิตเป็นมรรค จิตเห็นจิต เห็นไหม สิ่งที่เกิดจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ ถ้ามันดับทุกข์ได้นะ มันก็เป็นความจริงของท่าน
ฉะนั้น ว่า นามกายของหลวงปู่ดูลย์ ก็เป็นของหลวงปู่ดูลย์ไง เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาไง เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติตามความเป็นจริง หลวงปู่ดูลย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้สอนหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ใช่ชุบมือเปิบ หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ใช่บอกว่าท่านอยู่ๆ แล้วท่านก็ได้ ไม่ใช่ ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ไม่มี ไม่มีหรอก
ในสมัยปัจจุบันนี้ คนประกอบสัมมาอาชีวะ ถ้าใครประสบความสำเร็จ เห็นไหม เขียนหนังสือแล้วไปเป็นวิทยาทาน ไปแนะนำสั่งสอนให้คนอื่นเป็นแนวทาง เขาทำอย่างไรเขาถึงประสบความสำเร็จ เขาทำอย่างไรเขาถึงประสบความสำเร็จของเขา ไอ้นี่มันไม่มีผลสำเร็จอะไรเลย แล้วก็จะบอกว่านั่นเป็นอะไร นี่เป็นอะไร ธรรมต้องทำ ต้องทำ ต้องประพฤติปฏิบัติ แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านตามความจริงแล้ว
ฉะนั้น “นามกายของหลวงปู่ดูลย์หมายความว่าอะไร” ก็หมายความว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเห็นอริยสัจของท่าน ท่านเห็นสัจจะความจริงในใจของท่าน แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ฉะนั้น เวลาท่านเห็นของท่านแล้ว เวลาท่านไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ เห็นไหม ไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้น ไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ ท่านคุยกันมันเป็นธรรม เพราะเป็นธรรมแล้ว การได้มา การได้มาคือการขวนขวายของแต่ละจริตนิสัยของแต่ละบุคคลมา อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของคน แต่เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันเป็นจริงเหมือนกันไง
ฉะนั้น นามกายของหลวงปู่ดูลย์ก็เป็นอริยสัจของหลวงปู่ดูลย์ เป็นหลวงปู่ดูลย์ที่ท่านเห็นสัจจะความจริงของท่าน ท่านเห็นของท่าน เรา ถ้าเราอยากรู้อยากเห็น เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ เราก็ต้องหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วถ้าจะดูจิตๆ แบบที่ท่านสอน ก็ทำให้มันได้จริง เวลาดูขึ้นมา จิตถ้ามันเห็นของมัน ไฟ ไฟในเตา เห็นไหม เราจะทำอาหาร ไฟในเตาเราทำอาหาร เราควบคุมดูแลไฟในเตาของเรา อาหารเราก็จะสุก ไฟในเตาของเรา เราปล่อยปละละเลย ไฟในเตาของเรามันจะไหม้บ้านไหม้เรือนหมดล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ดูจิตๆ ดูให้มันถูกต้องดีงามมันก็เหมือนกับไฟในเตานั่น ถ้าไฟในเตา ไฟในเตาเราดูแลรักษา เวลามีสะเก็ดไฟที่มันแตกออกมาไง เราก็ดับ เราก็ดูแลรักษา มันไม่ไหม้บ้านไหม้เรือน มันไม่ไฟไหม้บ้าน มันเป็นไฟที่เราจะทำอาหาร แต่ถ้าเราพลั้งเราเผลอนะ ดูจิตๆ แล้วปล่อยปละละเลยนะ มันไหม้บ้านไหม้เรือนหมด เรือนทั้งหลัง บ้านทั้งหลัง ไฟไหม้หมด ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงแบบนี้
ฉะนั้น นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าของหลวงปู่ดูลย์มันหมายความเรื่องอะไร มันหมายความว่าท่านเห็นอริยสัจ ท่านสัจจะความจริงของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน แล้วอริยสัจมันก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ละเอียดลึกซึ้ง มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าเป็นจริงมันเป็นจริงแบบนี้ ถ้าเป็นจริงแบบนี้มันก็จบ
ฉะนั้น บอกว่า ถ้าอยากรู้อยากเห็นต้องทำ ต้องทำ ต้องประพฤติปฏิบัติ แล้วมันจะเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นจริงขึ้นมา เวลาขยายความไปแล้ว เพราะถ้าเราพูดแล้วมันก็เป็นประเด็นขึ้นมา พอเป็นประเด็นขึ้นมาแล้ว คนอื่นที่พูดไม่เหมือนเรา เดี๋ยวก็“ทำไมนามกายมันขัดแย้งกันล่ะ นามกายท่านกับนามกายผมมันไม่เหมือนกัน” วุฒิภาวะมันไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะลูกศิษย์ของเขามันก็ไปตั้งเป็นธงขึ้นมาเป็นอย่างนั้นๆ ขึ้นมา แล้วมันจริงหรือไม่จริง ไม่จริง
แต่ถ้าเป็นจริงๆ แบบหลวงปู่ดูลย์เนี่ย หลวงปู่ดูลย์ท่านไปเยี่ยมครูบาอาจารย์นะ ท่านไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้น ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหา เวลาท่านไปเยี่ยมของท่าน ท่านสนทนาธรรมมันเป็นธรรม แต่ไอ้พวกที่จำขี้ปากมา เพราะไอ้จำขี้ปากมา แล้วตัวเองมันมีความเห็นของตนอยู่ในใจ จำขี้ปากมาแล้วก็พูดขัดแย้งกันไป เดี๋ยวมันก็ขัดแย้ง มันไม่เป็นความจริงสักอย่าง
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ด้วยกัน ไม่มีความกระทบกระเทือน ไม่มีสิ่งใดขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดเลยมันเป็นสัจจะความจริงเหมือนกัน ถ้าเหมือนกันนะ ถ้าเป็นจริงเหมือนกันนะ เรียบง่าย แล้วสะดวกสบาย มันดีงามไปหมด แต่ถ้ามันไม่เป็นจริงขึ้นมามันมีนอกมีใน มีการซ่อนเร้น แล้วมันก็มีปัญหาขึ้นมา
ฉะนั้น คำว่า “นามกายของหลวงปู่ดูลย์หมายความว่าอย่างไร” ก็หมายความว่าเป็นนามกายของหลวงปู่ดูลย์ ถ้าใครอยากรู้อยากเห็นก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้วถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้วมันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา จบ
ถาม : เรื่อง “กรรมของการค้าเหล้าและบุหรี่”
กราบขอขมาและกราบนมัสการหลวงพ่อ
หนูมีปัญหาจะขอรบกวนเรียนถามดังนี้ค่ะ ครอบครัวหนูมีอาชีพขายของชำ และขายเหล้า บุหรี่ร่วมด้วยมานานหลายสิบปีแล้ว หนูอยากทราบว่าจะมีผลกรรมเกิดขึ้นกับครอบครัวอย่างไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร
กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง เมตตาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ
ตอบ : กรณีนี้เราเกิดในครอบครัว ถ้าเกิดในครอบครัวนะ ครอบครัวมีอาชีพอย่างนี้มา ถ้าครอบครัวมีอาชีพอย่างนี้มา เห็นไหม เราก็อยู่ในครอบครัวนี้มา ฉะนั้น เวลาเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงสัมมาอาชีวะสัมมา-อาชีวะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ขายเครื่องล่าสัตว์ ไม่ให้ขายอาวุธ ไม่ให้ขายอะไรที่จะไปทำลายชีวิตของคนอื่น เราจะทำสัมมาอาชีวะ ทำสิ่งดีงามของเรา
แต่เราเกิดมาเกิดมาในครอบครัว ในครอบครัวทำสัมมา-อาชีวะอย่างนี้ ทำอาชีพอย่างนี้มา เราเกิดมาอย่างนี้ เรายังไม่ได้ศึกษา พอเวลาศึกษาแล้ว เราคิดว่าสิ่งนี้ ขายเหล้า ขายบุหรี่ ขายร่วมมาเป็นนานหลายสิบปี อย่างนี้มันเป็นความเห็น ในเมื่อประกอบอาชีพ ถ้าอาชีพอย่างใดก็แล้วแต่ที่ความสะอาดบริสุทธิ์มันจะสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถ้ามันได้อย่างนั้นมันก็ดี แต่ถ้ามันไม่ได้ มันเป็นแบบว่า อย่างเช่น การค้า การขาย เราจะเอาสิ่งใดมาค้าขาย เขาขายพ่วงมา เขาต้องซื้อขายอย่างนี้ด้วย เขาถึงมีสินค้าจะขาย
มันเป็นการภาคบังคับของสังคมไง สังคมเขาบังคับ สังคมการตลาดมันบังคับ บังคับให้เราต้องทำแบบนี้ ถ้าบังคับให้เราต้องทำแบบนี้ ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่แบบนี้ เราก็ทำแบบนี้ เราก็อยู่ในสังคมไง แต่ถ้าเรามีกำลังใจ ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง เราจะพ้นจากนี้ เราก็ต้องคัดต้องเลือกสินค้า เอาสินค้าที่ไม่ขัดแย้งไม่ทุศีล ไม่ทำให้เสียหายขึ้นมา ถ้าเราทำได้นะ ถ้าเราทำได้ เราอยู่ในสังคม สังคมมันบีบคั้นอยู่
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “แล้วมันจะมีผลเกิดกับครอบครัวอย่างใด”
ถ้าผลกับครอบครัว เราทำการค้า เราทำสัมมาอาชีวะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเราก็เลี้ยงชีพ ถ้าสิ่งใด สิ่งใดที่มันเป็นผลของกรรมๆ มันก็มีผลกระเทือนในครอบครัวของเรา แต่ทุกครอบครัวเราก็ต้องมีทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำคุณงามความดีเหมือนกัน กรรมดีมันก็ให้ผลเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราทำอย่างนี้แล้วสิ่งนี้จะให้ผล แล้วเราไม่เคยทำความดีเลย ไม่มีสิ่งใดทำให้ครอบครัวเรามีความสุขสงบระงับบ้าง เราก็มีเหมือนกัน เราก็ทำความดีเหมือนกัน
เราทำดีอย่างอื่น เช่น เราเคยทำบุญกุศล เราเคยช่วยเหลือเจือจานใคร เรามีจิตใจที่ดี มีหัวใจที่ดี ใครมีปัญหา เราช่วยเหลือเจือจานเขา ในครอบครัวของเรา แม้แต่ในครอบครัวของเรา เห็นไหม เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ มันก็เป็นบุญกุศลให้พ่อแม่มีความสุขแล้ว สิ่งนี้มันก็มีผลของคุณงามความดี มันก็มีผลของความดีเข้ามาหนุนเจือจุนครอบครัวเราด้วย
แต่สิ่งที่ว่าทำสิ่งค้าเหล้า ค้าบุหรี่ สิ่งนี้ถ้ามันมีผลกับครอบครัวเราอย่างไร ครอบครัวของเรา เราก็อยากสงบระงับทั้งนั้น ครอบครัวของคนอื่น ในครอบครัวของคนอื่นเขาก็อยากมีความสุขความสงบระงับเหมือนกัน ถ้าพูดถึงเขาซื้อเหล้าซื้อยาไปกิน แล้วเขาทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว เราก็มีส่วนร่วมด้วย ถ้ามันคิดแล้วค่อยๆ กรณีอย่างนี้มันมีผู้ที่มีความคิดที่ดี เขาก็พยายามจะไม่ค้าเหล้า ค้าบุหรี่อะไรเลย ถ้าไม่ค้าเลยเขาก็บอกว่า สิ่งที่จะเป็นต้นทุนชีวิตเขามันก็ต่ำลง ไอ้นี่มันต้องแสวงหาเอาเอง
แต่บอกว่า “แล้วจะมีผลกับครอบครัวอย่างใด”
ผลกับครอบครัวอย่างใด ครอบครัวคนอื่นที่เขามีความกระทบกระเทือน ครอบครัวเรามันก็มีผลกระทบทั้งนั้น นี่ผลกระทบนะ มันจะมาช้ามาเร็ว เห็นไหม กรรมมันให้ผลเสมอภาคหมด มันไม่มีจะให้เฉพาะคนนี้คนดีไม่มีกรรม คนนู้นคนไม่ดีมีกรรม คนดีถ้าทำผิดก็คือผิดไง คนดีมาตลอดเลย ถ้าเขาทำผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายคือผิดกฎหมาย ถูกกฎหมายคือถูกกฎหมาย ความดีก็ส่วนความดี
ความดีนี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทั้งชีวิตมันก็ต้องมีอะไร เวลาจิตใจที่ดีๆ ก็คิดอย่างนี้ แล้วคิดอย่างนี้แล้วก็ไปคิดน้อยเนื้อต่ำใจไง ทำดีแล้วไม่ได้ดี เวลาอยากจะทำความดีขึ้นมา ในครอบครัวมันก็ขาดตกบกพร่อง ว่าเป็นความดี ความดี มันก็ต้องมีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญาพยายามรักษา ความดีเราก็ทำ แต่สิ่งนี้มันเป็นผล
เราจะบอกว่ามันเป็นไฟต์บังคับของสังคม ไอ้เรื่องการค้าการขาย เพราะว่าเขาเรียกว่าทุ่มตลาด การอะไรต่างๆ มันมี กีดกันการค้าการตลาด แล้วก็บีบคั้นไม่ให้ซื้อคนนู้น ไม่ให้ซื้อคนนี้ เราอยู่ในสังคมไง มันก็ต้องค่อยๆ หาทางออก ทีนี้บอก เขาทำมานานแล้ว ครอบครัวทำมานานแล้ว ทำมานานแล้วก็เป็นอาชีพที่มานานแล้ว เราก็อยู่ในอาชีพอย่างนี้ เราเกิดมาอย่างนี้ ถ้ามีผลอย่างไรไง ถ้ามีผลอย่างไรมันก็อยู่ทางโลก ทางโลกมันก็ต้องหาทางออก หาทางออกของเรา
แม้แต่บวชพระ บวชพระขึ้นมา เห็นไหม พระปฏิบัติ เวลาพระที่มีการศึกษา เขาก็บอกว่า “พระปฏิบัติขี้เกียจ ไม่ศึกษา ไม่เล่าเรียน มาหลับหูหลับตา มันจะมีปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร” มันก็มีความขัดแย้ง เราเกิดเป็นคน มันมีความขัดแย้งไปทั้งนั้น นี่อยู่ในสังคมนะ เราบอกว่าใช้สติปัญญา สติของเรา สติ มันเป็นปัญหาที่จำเป็น เห็นไหม ทางบ้านทำมาก็ทำไป ถ้าทำเพราะว่าเป็นกิจการของครอบครัว แล้วเราอยู่ในครอบครัวนั้น แต่เราก็มีความเห็นของเราส่วนตัว เห็นไหม
ที่ว่า “มันจะมีผลอย่างไร”
เราก็เก็บไว้ในใจ แล้วถ้าโตขึ้นมามีอาชีพแล้วเราค่อยคัดเลือกเอา ถ้าเรามีความเป็นไปได้ เพราะถ้าไปพูดแล้วนะ เดี๋ยวพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านเลย เลี้ยงเอ็งมาตั้ง ๑๐ - ๒๐ ปี เอ็งจะมาเก่งได้อย่างไร โอ๋ย! ยุ่งเลย จะบอกพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่า อู้! เลี้ยงมาจนป่านนี้มาอวดดีอีก แต่เรามีความคิด ความคิดเราก็คิดของเราได้ นี่พูดถึงว่าผลอย่างไรไง
เขาจะพูดเลย พระพุทธศาสนาบอกว่าให้ถือศีล ๕ ไม่ให้ดื่มสุรา ไม่ให้เสพของมึนเมา แล้วรัฐบาลก็มีโรงเหล้า รัฐบาลก็มีให้สัมปทานเสียเอง รัฐบาลก็มีโรงงานยาสูบ มีคนพูดอย่างนี้เยอะมากเลย เวลาพูดอย่างนี้ก็ยุบโรงงานยาสูบเลย แล้วโรงเหล้าก็ยุบทิ้งหมดเลย แล้วให้อิมพอร์ตเข้ามาจากเมืองนอกหมดเลย เงินก็ไหลออกหมดเลย เออ! มึงคิดอย่างนั้นหรือ
เวลาคนมันมองสุดโต่งไง บอกว่า เวลาบอกว่าเป็นชาวพุทธ บอกให้ถือศีล ๕ รัฐบาลซะเองก็มีโรงงานยาสูบ มีสัมปทานโรงเหล้า ไอ้อย่างนี้มันแบบคนมันไม่ได้ แต่เขาพยายามจะนะ อย่างทางการแพทย์เรื่องสุขภาพเขาถือมาก ฉะนั้น ปัญหาสังคม แล้วปัญหาการค้าของโลกมันบีบมันบี้ เวลาบุหรี่ส่งเข้ามา โอ้โฮ! เวลาประเทศมันไม่ให้สูบ แล้วมันก็ส่งมาขายประเทศด้อยพัฒนา แล้วประเทศด้อยพัฒนา หือ! มันก็บีบๆ นี่พูดถึงว่าระดับครอบครัวก็เรื่องหนึ่งนะ ระดับโลก ระดับโลก ระดับสังคม นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ แล้วเวลาศาสนา ศาสนาพุทธ เห็นไหม เขานับถือศาสนาคริสต์ นับถือศาสนาอื่นแล้วเขาก็บีบเอา บีบเอา ฉะนั้น แล้วเวลาคิดมันก็คิดมาแบบนี้ไง
พูดไปแล้วมันก็จะเป็นมันปัญหาโลก แล้วปัญหาธรรม ธรรมะก็สอนไง บอกมันเป็นมิจฉาอาชีวะมันไม่ดีไม่งาม มันก็เหมือนน้ำใจ เราไม่ให้เด็กผิดพลาด เราฝึกมาตั้งแต่ต้น แล้วถ้าสังคม แล้วเด็กพอมันโตขึ้นมามันก็อยากลองทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของสังคม แล้วเราเองจะเป็นคนดี คนดีโด่เด่ โด่เด่ มันอยู่ไม่ได้หรอก คนดีมันก็ต้องดีนอกดีใน นอกเราก็ไม่ขัดแย้งกับใคร ในของเราก็มีจุดยืน ในหัวใจมีจุดยืน ดีนอก นอกให้ดีด้วย ข้างในยิ่งดีใหญ่ ข้างในยิ่งดีใหญ่ ยิ่งมั่นคงใหญ่แล้วเราก็อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก
พระพุทธเจ้าบอกอยู่กับโลกไม่ติดโลก โลกมันเป็นแบบนั้น โลกพร่องอยู่เป็นนิจ โลกมีแต่แก่งแย่ง โลกมีแต่เบียดเบียน แต่เราต้องอยู่กับเขา ต้องคิดอย่างนี้ไง แต่ทีนี้เวลาคนศึกษามามันคิดสุดโต่งทั้งนั้นน่ะ เวลาไม่รู้อะไรก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พอรู้ขึ้นมา นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด นี่ก็ผิด ไม่รู้จะอยู่อย่างไรเลย เห็นไหม อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก ต้องมีจุดยืน นี่พูดถึงว่า สัมมาอาชีวะนะ จบ
ถาม : เรื่อง “จิตหนึ่ง”
ความรับรู้แรกที่ตื่นขึ้นจากหลับช่างสะอาดสดใส ฉับพลันทันใดเราก็เริ่มจำได้ จำว่าเราคือใคร เรื่องราวในชีวิตเราเป็นอย่างไร เมื่อวานนี้เรื่องอะไรที่กำลังดำเนินค้างอยู่ แล้วความรับรู้แรกก็ห่อหุ้มถูกสวมบทราวกับละคร ไม่สะอาดสดใสเหมือนแวบตะกี้นี้เลย ความรับรู้แรกคือจิต บทละครที่หุ้มห่อคือขันธ์ ๕ ถ้าเราพยายามอยู่กับจิตให้ได้มากๆ ในที่สุดเราก็จะลอกขันธ์ ๕ ออกไปจนหมดใช่ไหม จิตแบบนี้คือจิตหนึ่งใช่ไหมเจ้าคะ
ตอบ : ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ค่ะ อันนี้มันคือนิยายค่ะ มันเป็นนิยาย มันไม่ใช่ความจริงค่ะ
ความจริงนะ จิตหนึ่ง จิตหนึ่งทำพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง จิตกว่าจะสงบได้ จิตสงบได้นั่นสมาธิคือจิตหนึ่ง ถ้าจิตหนึ่งแล้ว จิตหนึ่ง เห็นไหม จิตเดิมแท้ จิตหนึ่ง เห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันยังละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป
คำว่า “จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง” จิตหนึ่งมันเป็นเริ่มต้นมาฝ่ายมหายานไง เวลามหายาน สิ่งที่ว่าฉับพลันทันทีอะไรอย่างนี้มันเกิดจากมหายาน มหายานคืออาจริยวาท อาจริยวาทที่เป็นพระที่ประเสริฐ ดูสิ อย่างเว่ยหล่างอย่างนี้ อย่างพระที่ท่านบรรลุธรรมๆ แล้วเวลาบรรลุธรรมขึ้นมา เวลาคนไปศึกษา พอศึกษาแล้วบอกใช้ปัญญาสามัญสำนึกมันก็บรรลุธรรมได้ บรรลุธรรมได้ ทำไมต้องทำสมาธิ ทำสมาธิ เห็นไหม บอกเถรวาท เถรวาทนั่นน่ะหลงใหล
เถรวาทในการประพฤติปฏิบัติแบบสายวัดป่าต้องทำสมาธิ ต้องพยายามทำความสงบของใจ เวลาของฝ่ายมหายานเขาไม่ต้องทำสมาธิเลย แต่เขาไม่รู้หรอกทำสมาธิแบบลืมตา ทำสมาธิแบบปัญญาอบรมสมาธิ เวลาเดินจงกรมอยู่ก็ทำสมาธิเหมือนกัน ไอ้นี่ว่ากว่าจะเห็นจิตหนึ่ง กว่าจะรู้จักจิต โอ้โฮ! อีกนานไกล ไอ้อย่างพวกเรารู้ไปหมด ศึกษาไปหมด เหมือนผู้ถาม “ความรับรู้แรกตื่นขึ้นมามันช่างแสนสะอาดสดใส”
โอ้! คนมันเพลียมา มันจะเป็นจะตายมา นอนหลับตื่นขึ้นมามันก็สดใสทั้งนั้น แต่สดใสก็สดใสแบบปุถุชน เวลาจิตหนึ่ง จิตหนึ่ง จิตหนึ่งเพราะมันตรึกไง มันตรึกในธรรมไง พอตรึกในธรรมมันก็คิดไง มันคิดได้ของมันไง เวลาคนเรามันมีความสุข โอ้โฮ! ชีวิตนี้สุดยอด เดี๋ยวร้องไห้แล้ว
นี่ก็เหมือนกัน ไอ้นี่เขาเรียกว่าอนิจจัง เห็นไหม มันแปรปรวน มันแปรปรวนมันเป็นหนึ่งได้อย่างไร มันไม่เป็นหนึ่งเลย เวลาเป็นหนึ่งขึ้นไปมันไม่แปรปรวน ดูสิ อัปปนาสมาธิ เวลาเข้าไปอัปปนา สักแต่ว่า สักแต่ว่าคงที่เลย สมาธิ เห็นไหม มันไม่พาดพิงอารมณ์ใดทั้งสิ้น สมาธิคือสมาธิ จิต จิตที่ไม่พาดพิงอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุรู้ จิตหนึ่งมันรู้ของมัน รู้ในตัวมันเอง รู้แจ่มแจ้ง รู้ชัดเจน ไม่พาดพิง มันไม่มีอารมณ์ รู้โดยไม่มีอารมณ์ รู้อย่างไร รู้ไม่มีอารมณ์
แต่ของเรา เห็นไหม มันช่างสะอาดสดใส นี่จิตหรืออารมณ์ มันช่างสะอาดสดใส ฉับพลันทันทีเลย แวบเดียว ไอ้นี่เขามาศึกษาธรรมไง พอศึกษาธรรมะแล้วมันก็เข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ พอเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ เวลาตื่นจากนอน เห็นไหม ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นไง แล้วก็ถามว่า “อย่างนี้มันเป็นจิตหนึ่งหรือเปล่า” แต่เขามีสติปัญญานะ สติปัญญาของเขา “ความรับรู้แรกที่ตื่นขึ้นมาช่างสะอาดสดใส ฉับพลันทันใดก็เริ่มจำความได้”
เริ่มจำความได้มันก็ต้องคิด มันก็ต้องรับผิดชอบว่าความจำคือเรา เรื่องราวมันก็เกิดขึ้น กลายเป็นขันธ์ ๕ ห่อหุ้ม มันห่อหุ้มมาตั้งแต่ต้น คำว่า “ห่อหุ้ม” มันไม่เห็นจริง มันเห็นจริงมันเห็นโดยจินตนาการไง เห็นขันธ์อย่างไร เห็นขันธ์ ๕ เวลาขันธ์ ๕ มันห่ออย่างไร ถ้าเห็นขันธ์ก็เป็นธรรมารมณ์ ถ้าเห็นเป็นธรรมสัจธรรมมันถึงเป็นอริยสัจเลยนะ มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าเห็นจิตก็จิตสดใส จิตผ่องใส ถ้ามันเป็นอารมณ์ความรู้สึก นั่นน่ะธรรมารมณ์ อารมณ์ที่เป็นธรรม
ทำไมถึงอารมณ์ที่เป็นธรรมล่ะ อารมณ์เราอารมณ์ที่เป็นโลก อารมณ์ที่เป็นความทุกข์ความยาก อารมณ์ที่บีบคั้น แต่อารมณ์ที่เป็นธรรมๆ เพราะอะไร เพราะจิตมันสงบ จิตสงบ จิตหนึ่ง จิตมันสงบจิตเป็นสัมมาสมาธิ แล้วจิตเป็นคนจับอารมณ์ เพราะอารมณ์กับจิตมันไม่มีอนุสัย มันไม่มีอนุสัยนอนเนื่องคือว่ามันไม่มีอารมณ์ต่อเนื่อง พอมันจับมันแยกอยู่ มันเก้อๆ เขินๆ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จิตเป็นผู้เห็น จิตเป็นผู้จับ เห็นไหม
แต่ถ้าธรรมดาจิตกับอารมณ์เป็นอันเดียวกัน เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวปวด เดี๋ยวพอใจ เดี๋ยวไม่พอใจ มันเกี่ยวเนื่องกัน มันเป็นอายตนะ มันเกี่ยวกันไป มันถึงไม่เห็นเป็นความจริงไง ถ้าเห็นเป็นความจริงเห็นอย่างนั้นมันถึงเห็นการห่อหุ้ม ไอ้นี่มันไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่มันคิดได้ มันคิดได้ไง พอมันฉับพลันทันที พอมันติดสิ่งที่ค้างอยู่ มันก็ถูกสวมด้วยบทละคร
“สิ่งที่มันแวบเข้ามาอย่างนี้มันเป็นขันธ์ ๕ หรือไม่ แล้วถ้าขันธ์ ๕ เราจะลอกจากขันธ์ ๕ อย่างไร”
โอ้โฮ! มันก็เลยเป็นละครเรื่องใหม่ขึ้นมาเลย มันเป็นจินตนาการทั้งนั้น ถ้าเป็นจินตนาการทั้งนั้น สิ่งที่เห็นนี่นะ เห็นแล้วเก็บไว้ แล้วผู้ถามนะไปทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว แล้วถ้าจิตเห็นอาการของจิตตามความเป็นจริง มันจะได้เห็นต่างกับคำถามนี่ไง เวลาคำถามมันเห็นโดยจินตนาการ เห็นโดยจินตนาการการคาดหมาย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ เห็นไหม เราฟังได้หมดล่ะ นี่ไง ที่เวลาหลวงปู่มั่น หลวงตา เวลาท่านเทศน์ท่านสอนไง ท่านบอกว่าไอ้สัญญานี่สำคัญนัก เวลาสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงท่านบอกว่าฆ่ามันไป ฆ่ามันไป เพราะเดี๋ยวสัญญามันจำ จำแล้วมันก็ไปสร้างภาพ แล้วพอสร้างภาพขึ้นมาก็รู้ รู้อย่างนี้ ที่กรรมฐานครูบาอาจารย์ที่ว่าเป็นอันตราย อันตรายแบบนี้ ถ้ามันรู้โจทย์ก่อน มันรู้ก่อน มันสร้างภาพได้หมด
แล้ว เห็นไหม สินค้าลิขสิทธิ์ เขาทำลายกันเป็นพันๆ ล้านนู่นน่ะ เพราะมันมีสินค้าแท้ที่มีเครดิตในตลาดคนต้องการ มันก็ทำเลียนแบบแล้วรวยมาก ในเมืองจีนก๊อปปี้จนรวย จนขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลก ก๊อปปี้จนรวย อันนี้ก็เหมือนกัน “แรกรับรู้ตื่นขึ้นมามันช่างสะอาดสดใส ฉับพลันทันใดเกิดเริ่มจำได้” อู้ฮู! อันนี้ต้องไปบอกลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่เขามาจับ จับแล้วเขาไปพิสูจน์ ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่ เดี๋ยวก็ต้องไปทำลาย เพราะมันไปลอกเลียนแบบเขามาไง แต่ถ้าเป็นจริงๆ ของเรานะ
นี่พูดถึงคำถาม เพราะเราพูดถึงเรื่องมหายาน เรื่องสิ่งที่เป็นฝ่ายมหายาน สิ่งที่ว่า “จิตหนึ่ง ฉับพลันทันใดมันมาจากมหายานทั้งนั้น” แต่ถ้าเป็นกรรมฐาน เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดเห็นร่องเห็นรอยมัน แล้วถ้าไปเห็นตัวจริง กับฝึกหัดแล้วเห็นตัวจริง ขั้นของปัญญา ถ้าปัญญามันไปอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม ไอ้นี่มันฝึกหัดโดยศีล สมาธิ ปัญญา
แต่โดยมหายานเขาตัดทานทิ้งไป ทานไม่ต้องทำเสียเวลา ให้ถือศีล มีศีลแล้วก็ปฏิบัติเลยฝ่ายมหายานนะ เรื่องทาน ทาน เขาดูถูก เวลาอาจารย์เขา เห็นไหม ว่าชักช้า เสียเวลา เนิ่นช้า มากังวลแต่เรื่องที่ไม่จำเป็น แล้วถึงเวลาภาวนา ภาวนาลุ่มๆ ดอนๆ ไง แต่สิ่งที่มั่นคง ทาน ศีล ภาวนาแบบเถรวาทเรา เพราะ เห็นไหม เช้าขึ้นมาแล้วทำทาน ทำทานกัน ทำทานคือมาศึกษาธรรมะ แล้วได้ฟังธรรมๆ อย่างน้อยเราก็เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นชาวพุทธน่ะ ถ้าชาวพุทธฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมามันมั่นคง สามเส้า ทาน ศีล ภาวนา
แต่ฝ่ายมหายานส่วนใหญ่แล้วนะเพราะอะไร เพราะว่าพระต้องทำไร่ไถนา พระเขาทำสวน พระเขาหุงหาอาหารกินกันเอง ทานไม่เกี่ยว พระก็ส่วนพระ โลกก็ส่วนโลก เขาทำกันของเขาอยู่อย่างนั้น เพียงแต่พอเขามาอยู่ในเถรวาท อยู่ในชาวพุทธ ชาวพุทธเถรวาทเขาบิณฑบาต เขาก็บิณฑบาตด้วย แต่ของเขา เขาหุงหากินกันเองนะ เขาทำอย่างนั้นน่ะ แล้วเรื่องทานมันบอกว่าเป็นการรบกวนไง เป็นการรบกวนชาวบ้านเป็นต่างๆ
แต่ถ้าเป็นเถรวาทเรา เห็นไหม มันเป็นความมั่นคงไง เพราะว่าชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นผู้ส่งเสริมเป็นผู้ตรวจสอบพระ ถ้าพระไม่ดี ชาวบ้านเขาไม่ใส่บาตรให้กินไง ถ้าไม่ใส่บาตรให้กิน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระก็หุงหากินเองก็ได้ พอพระหุงหากินมันก็แยก เห็นไหม ปลากับน้ำแยกออกจากกัน มันก็ไม่มั่นคงหรอก
ฉะนั้น ของเราทาน ศีล ภาวนา แต่ฝ่ายมหายานส่วนใหญ่แล้วทานเขาเห็นเป็นของเล็กน้อย เขาเห็นเป็นของเล็กน้อยมาก เขาบอกว่าไม่เกี่ยวไง คือว่าเรื่องศีลของเขาต่างหากเลย เพราะเขาเชื่อตามอาจารย์กันนี่พูดถึงมหายานนะ แล้วพอเราเป็นเถรวาท เราเป็นเถรวาท เห็นไหม แล้วเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เราทำมาอย่างนี้ เพื่อความมั่นคงของศาสนา เพื่อความมั่นคง ให้มันตรวจสอบกัน ให้มันเป็นเนื้อเดียวกัน มันจะเป็นทาน ศีล ภาวนา แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา พอภาวนาขึ้นมามันจะเห็นเป็นข้อเท็จจริง
มันไม่เป็นอย่างนี้ ไอ้นี่มันเป็นอย่างนี้เพราะว่ามันไม่มีตัวตน มันจับต้องสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ไง แต่อารมณ์ได้ ความคิด ความพูดได้ แต่เป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้ไง เหมือนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เหมือนหลักฐานทางอาญามันต้องมีเอกสาร หลักฐานทางเอกสารใช่ไหม หลักฐานเป็นตัวบุคคลใช่ไหม เราจับ จับอะไรได้ รู้ รู้เห็นอย่างไร แล้วสอบสวนอย่างไร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วปล่อยวางอย่างไร เห็นกาย กายเป็นอย่างไร
เห็นกายโดยเจโตวิมุตติคือเห็นกายเป็นภาพ ถ้าเห็นกายโดยปัญญาวิมุตติ นามกาย นามกาย เห็นกายโดยปัญญา ปัญญาเห็นอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านว่าจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน มันมีเหตุมีผลมีข้อเท็จจริงไง เหมือนขึ้นศาลมีเอกสารทางวัตถุ มีเอกสารมีทุกอย่างพร้อมน่ะ มันถึงจะเป็นจริง แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นมามันก็จะชัดเจนของมัน แล้วชัดเจนแล้วพูดเมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่ไหนก็พูดได้ อยู่ที่ไหนก็รู้หมด เพราะอะไร เพราะมันไปรู้จริงเห็นจริงไง
แต่ไอ้นี่มันเป็นสัญญา เป็นการศึกษา เพราะว่าเริ่มต้นจากคำถามเราก็ตลกแล้ว “ตื่นนอนขึ้นมามันช่างสะอาดสดใส” ฝันก็ไม่ได้ ฝันก็ไม่ใช่ นั่งสมาธิเป็นตกภวังค์ก็ไม่ใช่ นั่งจินตนาการก็ไม่ใช่ มันต้องชัดๆ ดวงใจไหนไม่มีมรรค ดวงใจนั้นไม่มีผล มันมีมรรคมีผล มันจับต้องได้เป็นชัดเจนมาก มันถึงจะเป็นความจริงไง นี่พูดถึงว่า จิตหนึ่ง
มันไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ ค่อยๆ ทำเอา อันนี้เป็นประสบการณ์ จะบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นประสบการณ์ของผู้ถาม มันเป็นประสบการณ์นะ ประสบการณ์การฝึกหัด เวลาประพฤติปฏิบัติจิตใจที่มันยังอ่อนด้อย มันก็สะเปะสะปะ แล้วพอมันจะเข้าลู่เข้าทาง มันต้องอีกเยอะ กว่าจะปรับพื้นที่สร้างบ้าน กว่าจะปรับให้
หลวงปู่มั่นสายกรรมฐาน เขาถึงบอกว่า “ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน” คือปรับพื้นที่ เราจะปลูกบ้านปลูกเรือน เราจะมีอริยสัจขึ้นมา เราต้องมีพื้นที่ของเรา นี่ไง พื้นที่ของเราที่ว่าภวาสวะ ที่ภพ ที่ใจเรา ที่มันจะเป็นจริงขึ้นมา สิ่งที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเราจะปรับพื้นที่ เราจะทำลายกันที่นี่ ถ้าอย่างนี้ต้องมีความสงบของใจเข้ามาก่อน
แต่ของเขา เวลาเขาพูดกันไป เห็นไหม “ปัญญาสามัญสำนึกก็บรรลุธรรมได้” เราเห็นอยู่ เขาพยายามจะโน้มน้าว โน้มน้าวว่าเขาก็ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ ไม่ใช่เฉพาะพระจะทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ ทำได้ให้กิเลสทำไง กิเลสทำได้ ไม่ใช่ธรรมทำได้ ถ้าธรรมทำได้ ธรรมต้องทำ เอวัง